วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คุตบะห์วันศุกร์


อั้ลอิสรออและอั้ลเมียะรอจ  



อ.อาลี  กองเป็ง
    
             
   ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก

         ขณะที่องค์อัลเลาะฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา    ทรงปรารถนาที่จะให้ฝากฟ้า  ได้รับเกียรติโดยการเยือนของท่านร่อซู้ล ซอลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม     ประดุจดังพื้นโลกดุนยาได้รับเกียรติโดยการที่ท่านร่อซู้ลซอลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม     เป็นศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์ในพื้นโลกดุนยา  อัลเลาะห์    ทรงได้บัญชาให้ยิบรออี้ลและมีกาอี้ล  มายังท่านนบีมูฮำหมัดในค่ำคืนที่   27 แห่งเดือนร่อยับตามทัศนะที่ให้น้ำหนักของบรรดาปวงปราชญ์       
          ท่านนบีมุฮัมหมัด ได้เดินทางโดยการนำทางของยิบรออี้ลขึ้นสู่หลังของ  บุรอก(لْبُرَاقُ  ا )  ไปที่เมืองชาม  ( اَلشَّامُ)   ในขณะนั้น
         อัลเลาะห์(ซ.บ.) ทรงตรัสในซูเราะฮ์อั้ลอิสรออ์อายะฮ์ที่หนึ่งว่า
{ سُبْحَانَ الَّذِيْ اَسْرَى بِعَبْدِهِ لَيْلاً مِنَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ اِلَى الْمَسْجِدِ اْلاَقْصَى الَّذِيْ بَارَكْنَاحَوْلَهُ لِنُرِيَهُ مِنْ آيَاتِنَا اِنَّهُ هُوَ السَّمِيْعُ الْبَصِيْرُ  }.   الاسراء   1                                                                  
          ความว่า    ( มหาบริสุทธิ์   ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทาง (อิสรออ์)ในยามค่ำคืน  จากมัสยิด อั้ลหะรอม   ไปยังมัสยิดอั้ลอักซอ  ซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้เกิดความจำเริญ  เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆ ของเรา    แท้จริงอัลเลาะห์(ซ.บ.) คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น )
          ท่านนบีมุฮำหมัด  (ซ.ล.)    เดินทางจากมัสยิดอั้ลหะรอม  ณ นครมักกะห์ถึงมัสยิดอั้ลอักซอ ในเยรูซาเล็ม    ปัจจุบัน  เพียงส่วนหนึ่งของกลางคืนทั้งที่ระยะทางในเวลาการเดินทาง  ถ้าใช้กองคาราวานจะใช้เวลาถึง 40 วัน  การอิสรออ์ของ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.)  ได้เกิดขึ้นทั้งวิญญาณและเรือนร่างของท่าน   ขณะที่ท่านไม่หลับและมีสติสัมปชัญญะ   มิใช่ความฝันตามความคิดของผู้ขาดอีหม่าน( การศรัทธา )    อัลเลาะห์(ซ.บ) ทรงประทานให้ท่านนบีมุฮำหมัด(ซ.ล.)  เห็นจากเครื่องหมายต่าง ๆ  และรับทราบจากเรื่องราวที่สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถล่วงรู้ได้    จนกระทั้งท่านนบีมุฮำหมัด (ซ.ล.)    ได้เข้าสู่บัยติ้ลมักดิส ซึ่งเป็นศาสนสถาน ทั้งบรรดานบีและบรรดาร่อซู้ล อะลัยฮิมุสสลามรวมตัวกันเพื่อต้อนรับท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)     ท่านนีมูฮำหมัด(ซ.ล.)ได้ทำหน้าที่นำละหมาดโดยเป็นอีหม่ามแก่บรรดานบีและบรรดาร่อซู้ลเหล่านั้น   และบางรายงานกล่าวว่าเขาทั้งหลายต่างให้เกียรติกันโดยการเชื้อเชิญซึ่งกันและกัน ให้ทำหน้าที่อีหม่าม  จนกระทั้งยิบรออิ้ลได้เสนอให้ท่านนนีมูฮำหมัด(ซ.ล.)  นำละหมาด     หลังจากเสร็จสิ้นการละหมาดบรรดาร่อซู้ลได้แสดงการต้อนรับนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)พร้อมสรรเสริญต่ออัลเลาะห์ (ซ.บ.) 
           ท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)กล่าวว่าทุกท่านได้สรรเสริญต่ออัลเลาะห์  ข้าพเจ้าก็ขอสรรเสริญต่อพระองค์เช่นเดียวกัน     โดยท่านกล่าวว่า   มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ผู้ซึ่งได้แต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นร่อซู้ลเพื่อแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก  และเป็นผู้แจ้งข่าวดีให้เขาทั้งหลายปฏิบัติ  และแจ้งข่าวร้ายให้เขาทั้งหลายหลีกเลี่ยง    พระองค์ทรงประทานกุรอ่านเหนือข้าพเจ้าในนั้นได้ชี้ชัดทุกสิ่ง พระองค์ทรงดลบรรดาลให้ประชากรของข้าพเจ้า เป็นเลิศแห่งอุมมะห์  เป็นอุมมะห์สายกลางกลุ่มแรกและสุดท้ายแห่งอุมมะห์  พระองค์ทรงเปิดหัวใจข้าพเจ้า  ทรงยกโทษแก่ข้าพเจ้า  ทรงยกการรำลึกของข้าพเจ้า     ท่านนบีอิบรอฮีม (อ.ล.)  จึงกล่าวว่านี่แหละคือความประเสริฐของท่าน โอ้มูฮำหมัด
             หลังจากนั้นท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.)  ได้ ( เมี๊ยะรอจ )  ขึ้นสู่ฝากฟ้าชั้นที่หนึ่งจนถึงฝากฟ้าชั้นที่เจ็ด   และได้ผ่านม่านบังทั้งหลายจนถึงซิดร่อตุ้ลมุนตะฮา ( سِدْرَةُ الْمُنْتَهَى  )  คือต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำอันบริสุทธิ์หลายสายไหลรินออกมาจากโคนของมัน     หลายสายจากน้ำนมที่ไม่เปลี่ยนรสชาติ  หลายสายจากน้ำอัมฤทธิ์รสชาติอันล่ำเลิศ  หลายสายจากน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์   เป็นต้นไม้ที่มีร่มเงา   ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางในร่มเงานั้นถึง  70 ปี ก็ไม่สามารถพ้นร่มเงาได้   ท่านนบี (ซ.ล.) แลเห็นสวรรค์และความผาสุกในนั้น    ซึ่งไม่มีสายตาใด แลเห็น   หรือหูได้รับฟัง   และจิตรที่มโนภาพ มาก่อนของมนุษย์ในโลกดุนยาใบนี้เลย
              เมื่อท่านนบี  ( ซ.ล )  ได้ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีแห่งอัลเลาะห์ (ซ.บ.)         ท่านนบี (ซ.ล) จึงแสดงความเคารพและคารวะต่อพระองค์อัลเลาะฮ์ ( ซ . บ )โดยกล่าวว่า     (อัตตะฮียาตุ้ลมุบาร่อกาตุสซ่อละวาตุฏฏอยยิบาตุลิ้ลลาฮ์)
 ( اَلتَّحِيَّاتُ الْمُبَارَكاَتُ الصَّلَوَاتُ الطَّيِّبَاتُ ِللهِ )
         ความว่า บรรดา ความเคารพ  สิริมงคล   พระพรอันบริสุทธิ์ เป็นสิทธิ์แห่งอัลเลาะฮ์
อัลเลาะห์(ซ.บ.)   ทรงตอบรับแก่ท่านนบีว่า 
                                                                     
“อัสสลามุอะลัยก่า  อัยยุฮันนบียู่  วะเราะฮ์มะตุ้ลลอฮิ  วะบะร่อกาตุฮ์”
( اَلسَّلاَمُ عَلَيْكَ اَيُّهَاالنَّبِيُّ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكاَتُهُ )
          ความว่า     “สุขสันติจงมีเหนือท่านนบี และพร้อมด้วยความเมตตาและสิริมงคลแห่งอัลเลาะฮ์”
               ท่านนบี (ซ.ล.)  เมื่อได้รับพรดังกล่าว ท่านจึงมีความปรารถนาในพระพรนั้น ให้เกิดแก่บ่าวของอัลเลาะห์(ซ.บ.) ที่เป็นประชากร(อุมมะห์)ของท่าน ท่านจึงกล่าวว่า    “อัสสลามุอะลัยนาวะอะลาอิบาดิ้ลลาฮิซซอลิฮีน”
 ( اَلسَّلاَمُ عَلَيْنَاوَعَلَى عِبَادِاللهِ الصَّالِحِيْنَ )
ความว่า  “ขอความสันติได้มีเหนือพวกเราและเหนือบ่าวที่ดีของพระองค์ด้วยเถิด”

มวลมาลาอีกะฮ์ทั่วท้องฟ้าเปล่งเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อนว่า 

“อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลั้ลเลาะฮ์     วะอัชฮะดุอันนะมุฮัมมะดัรร่อซูลุ้ลเลาะฮ์”
 ( اَشْهَدُاَنْ لاَاِلَهَ اِلاَّاللهُ وَاَشْهَدُاَنَّ مُحَمَّدًارَسُوْلُ اللهِ )
         ความว่า   “ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด  ที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจาก  อัลเลาะห์ (ซ.บ.)    และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า  นบีมุฮำหมัดเป็นร่อซู้ลของอัลเลาะห์(ซ.บ.)”
และเป็นพระเมตตา ( เราะฮ์มัต ) อันใหญ่หลวงที่ได้ทรงประทานอิบาดะห์อันประเสริฐสุด ซึ่งเป็นอิบาดะห์ที่แยกความเป็นมุสลิมและผู้ปฏิเสธ  นั่นคือการละหมาดวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง 5 เวลา ซึ่งผลบุญเท่ากับ 50 เวลา  หลังจากได้รับการผ่อนปรนแล้ว
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
ส่วนจากจารึกของการอิสรออ์  และเมียะอ์รอจ      จึงทำให้บ่าวของอัลเลาะฮ์     ( ซ . บ )ที่เป็นมุสลิมทั้งหลายรู้ซึ้งถึงความสำคัญของการละหมาด ว่าเป็นอิบาดะห์อันดับต้นและเป็นองค์ประกอบของอิสลาม รองจากการปฏิญาณตน  เราจะสังเกตได้ว่า  การปฏิบัติอิบาดะฮ์อื่น ๆ ที่นอกจากการละหมาดแล้วนั้น    อัลเลาะห์(ซ.บ.)           ทรงประทานวะฮีย์    (   وَحْيٌ    )  แก่ท่านนบี ( ซ . ล )โดยผ่านยิบรออิ้ลนำมาสู่ยังพื้นโลก    ส่วนการละหมาดในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเพียง 5 เวลาซึ่งผลบุญทวีคูณถึง 50 เวลา   ท่านนบีได้ขึ้นไปรับจากพระองค์อัลเลาะฮ์โดยตรง    ในค่ำคืนของวันจันทร์ที่ 27 แห่งเดือนร่อญับ ในปีที่แปดจากการเป็นศาสนทูตของท่านนบี ( ซ . ล )    ดังนั้นมุสลิมทุกคนจำเป็นต้องแสดงออกถึงความยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์อย่างแท้จริงและพร้อมด้วยการรำลึกถึงความสำคัญของอิบาดะฮ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญญัติเป็นฟัรฎูแก่ท่านนบี ( ซ.ล )และอุมมะฮ์ของท่านในค่ำคืนที่มีสิริมงคล   ด้วยการดำรงไว้ซึ่งการละหมาด