อั้ลอิสรออและอั้ลเมียะรอจ
อ.อาลี กองเป็ง
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
ขณะที่องค์อัลเลาะฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงปรารถนาที่จะให้ฝากฟ้า ได้รับเกียรติโดยการเยือนของท่านร่อซู้ล ซอลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ประดุจดังพื้นโลกดุนยาได้รับเกียรติโดยการที่ท่านร่อซู้ลซอลลั้ลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นศาสนทูตแห่งอัลเลาะฮ์ในพื้นโลกดุนยา อัลเลาะห์ ทรงได้บัญชาให้ยิบรออี้ลและมีกาอี้ล มายังท่านนบีมูฮำหมัดในค่ำคืนที่ 27 แห่งเดือนร่อยับตามทัศนะที่ให้น้ำหนักของบรรดาปวงปราชญ์
ท่านนบีมุฮัมหมัด ได้เดินทางโดยการนำทางของยิบรออี้ลขึ้นสู่หลังของ บุรอก(لْبُرَاقُ ا ) ไปที่เมืองชาม ( اَلشَّامُ) ในขณะนั้น
อัลเลาะห์(ซ.บ.) ทรงตรัสในซูเราะฮ์อั้ลอิสรออ์อายะฮ์ที่หนึ่งว่า
{ سُبْحَانَ الَّذِيْ اَسْرَى بِعَبْدِهِ لَيْلاً مِنَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ اِلَى الْمَسْجِدِ اْلاَقْصَى الَّذِيْ بَارَكْنَاحَوْلَهُ لِنُرِيَهُ مِنْ آيَاتِنَا اِنَّهُ هُوَ السَّمِيْعُ الْبَصِيْرُ }. الاسراء 1
ความว่า ( มหาบริสุทธิ์ ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทาง (อิสรออ์)ในยามค่ำคืน จากมัสยิด อั้ลหะรอม ไปยังมัสยิดอั้ลอักซอ ซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้เกิดความจำเริญ เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆ ของเรา แท้จริงอัลเลาะห์(ซ.บ.) คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น )
ท่านนบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) เดินทางจากมัสยิดอั้ลหะรอม ณ นครมักกะห์ถึงมัสยิดอั้ลอักซอ ในเยรูซาเล็ม ปัจจุบัน เพียงส่วนหนึ่งของกลางคืนทั้งที่ระยะทางในเวลาการเดินทาง ถ้าใช้กองคาราวานจะใช้เวลาถึง 40 วัน การอิสรออ์ของ ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้เกิดขึ้นทั้งวิญญาณและเรือนร่างของท่าน ขณะที่ท่านไม่หลับและมีสติสัมปชัญญะ มิใช่ความฝันตามความคิดของผู้ขาดอีหม่าน( การศรัทธา ) อัลเลาะห์(ซ.บ) ทรงประทานให้ท่านนบีมุฮำหมัด(ซ.ล.) เห็นจากเครื่องหมายต่าง ๆ และรับทราบจากเรื่องราวที่สติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถล่วงรู้ได้ จนกระทั้งท่านนบีมุฮำหมัด (ซ.ล.) ได้เข้าสู่บัยติ้ลมักดิส ซึ่งเป็นศาสนสถาน ทั้งบรรดานบีและบรรดาร่อซู้ล อะลัยฮิมุสสลามรวมตัวกันเพื่อต้อนรับท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.) ท่านนีมูฮำหมัด(ซ.ล.)ได้ทำหน้าที่นำละหมาดโดยเป็นอีหม่ามแก่บรรดานบีและบรรดาร่อซู้ลเหล่านั้น และบางรายงานกล่าวว่าเขาทั้งหลายต่างให้เกียรติกันโดยการเชื้อเชิญซึ่งกันและกัน ให้ทำหน้าที่อีหม่าม จนกระทั้งยิบรออิ้ลได้เสนอให้ท่านนนีมูฮำหมัด(ซ.ล.) นำละหมาด หลังจากเสร็จสิ้นการละหมาดบรรดาร่อซู้ลได้แสดงการต้อนรับนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)พร้อมสรรเสริญต่ออัลเลาะห์ (ซ.บ.)
ท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล.)กล่าวว่าทุกท่านได้สรรเสริญต่ออัลเลาะห์ ข้าพเจ้าก็ขอสรรเสริญต่อพระองค์เช่นเดียวกัน โดยท่านกล่าวว่า มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลเลาะห์ผู้ซึ่งได้แต่งตั้งข้าพเจ้าเป็นร่อซู้ลเพื่อแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก และเป็นผู้แจ้งข่าวดีให้เขาทั้งหลายปฏิบัติ และแจ้งข่าวร้ายให้เขาทั้งหลายหลีกเลี่ยง พระองค์ทรงประทานกุรอ่านเหนือข้าพเจ้าในนั้นได้ชี้ชัดทุกสิ่ง พระองค์ทรงดลบรรดาลให้ประชากรของข้าพเจ้า เป็นเลิศแห่งอุมมะห์ เป็นอุมมะห์สายกลางกลุ่มแรกและสุดท้ายแห่งอุมมะห์ พระองค์ทรงเปิดหัวใจข้าพเจ้า ทรงยกโทษแก่ข้าพเจ้า ทรงยกการรำลึกของข้าพเจ้า ท่านนบีอิบรอฮีม (อ.ล.) จึงกล่าวว่านี่แหละคือความประเสริฐของท่าน โอ้มูฮำหมัด
หลังจากนั้นท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.) ได้ ( เมี๊ยะรอจ ) ขึ้นสู่ฝากฟ้าชั้นที่หนึ่งจนถึงฝากฟ้าชั้นที่เจ็ด และได้ผ่านม่านบังทั้งหลายจนถึงซิดร่อตุ้ลมุนตะฮา ( سِدْرَةُ الْمُنْتَهَى ) คือต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำอันบริสุทธิ์หลายสายไหลรินออกมาจากโคนของมัน หลายสายจากน้ำนมที่ไม่เปลี่ยนรสชาติ หลายสายจากน้ำอัมฤทธิ์รสชาติอันล่ำเลิศ หลายสายจากน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์ เป็นต้นไม้ที่มีร่มเงา ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางในร่มเงานั้นถึง 70 ปี ก็ไม่สามารถพ้นร่มเงาได้ ท่านนบี (ซ.ล.) แลเห็นสวรรค์และความผาสุกในนั้น ซึ่งไม่มีสายตาใด แลเห็น หรือหูได้รับฟัง และจิตรที่มโนภาพ มาก่อนของมนุษย์ในโลกดุนยาใบนี้เลย
เมื่อท่านนบี ( ซ.ล ) ได้ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีแห่งอัลเลาะห์ (ซ.บ.) ท่านนบี (ซ.ล) จึงแสดงความเคารพและคารวะต่อพระองค์อัลเลาะฮ์ ( ซ . บ )โดยกล่าวว่า (อัตตะฮียาตุ้ลมุบาร่อกาตุสซ่อละวาตุฏฏอยยิบาตุลิ้ลลาฮ์)
( اَلتَّحِيَّاتُ الْمُبَارَكاَتُ الصَّلَوَاتُ الطَّيِّبَاتُ ِللهِ )
ความว่า “ บรรดา ความเคารพ สิริมงคล พระพรอันบริสุทธิ์ เป็นสิทธิ์แห่งอัลเลาะฮ์”
อัลเลาะห์(ซ.บ.) ทรงตอบรับแก่ท่านนบีว่า
“อัสสลามุอะลัยก่า อัยยุฮันนบียู่ วะเราะฮ์มะตุ้ลลอฮิ วะบะร่อกาตุฮ์”
( اَلسَّلاَمُ عَلَيْكَ اَيُّهَاالنَّبِيُّ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكاَتُهُ )
ความว่า “สุขสันติจงมีเหนือท่านนบี และพร้อมด้วยความเมตตาและสิริมงคลแห่งอัลเลาะฮ์”
ท่านนบี (ซ.ล.) เมื่อได้รับพรดังกล่าว ท่านจึงมีความปรารถนาในพระพรนั้น ให้เกิดแก่บ่าวของอัลเลาะห์(ซ.บ.) ที่เป็นประชากร(อุมมะห์)ของท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “อัสสลามุอะลัยนาวะอะลาอิบาดิ้ลลาฮิซซอลิฮีน”
( اَلسَّلاَمُ عَلَيْنَاوَعَلَى عِبَادِاللهِ الصَّالِحِيْنَ )
ความว่า “ขอความสันติได้มีเหนือพวกเราและเหนือบ่าวที่ดีของพระองค์ด้วยเถิด”
มวลมาลาอีกะฮ์ทั่วท้องฟ้าเปล่งเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อนว่า
“อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลั้ลเลาะฮ์ วะอัชฮะดุอันนะมุฮัมมะดัรร่อซูลุ้ลเลาะฮ์”
( اَشْهَدُاَنْ لاَاِلَهَ اِلاَّاللهُ وَاَشْهَدُاَنَّ مُحَمَّدًارَسُوْلُ اللهِ )
ความว่า “ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจาก อัลเลาะห์ (ซ.บ.) และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่า นบีมุฮำหมัดเป็นร่อซู้ลของอัลเลาะห์(ซ.บ.)”
และเป็นพระเมตตา ( เราะฮ์มัต ) อันใหญ่หลวงที่ได้ทรงประทานอิบาดะห์อันประเสริฐสุด ซึ่งเป็นอิบาดะห์ที่แยกความเป็นมุสลิมและผู้ปฏิเสธ นั่นคือการละหมาดวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง 5 เวลา ซึ่งผลบุญเท่ากับ 50 เวลา หลังจากได้รับการผ่อนปรนแล้ว
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
ส่วนจากจารึกของการอิสรออ์ และเมียะอ์รอจ จึงทำให้บ่าวของอัลเลาะฮ์ ( ซ . บ )ที่เป็นมุสลิมทั้งหลายรู้ซึ้งถึงความสำคัญของการละหมาด ว่าเป็นอิบาดะห์อันดับต้นและเป็นองค์ประกอบของอิสลาม รองจากการปฏิญาณตน เราจะสังเกตได้ว่า การปฏิบัติอิบาดะฮ์อื่น ๆ ที่นอกจากการละหมาดแล้วนั้น อัลเลาะห์(ซ.บ.) ทรงประทานวะฮีย์ ( وَحْيٌ ) แก่ท่านนบี ( ซ . ล )โดยผ่านยิบรออิ้ลนำมาสู่ยังพื้นโลก ส่วนการละหมาดในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเพียง 5 เวลาซึ่งผลบุญทวีคูณถึง 50 เวลา ท่านนบีได้ขึ้นไปรับจากพระองค์อัลเลาะฮ์โดยตรง ในค่ำคืนของวันจันทร์ที่ 27 แห่งเดือนร่อญับ ในปีที่แปดจากการเป็นศาสนทูตของท่านนบี ( ซ . ล ) ดังนั้นมุสลิมทุกคนจำเป็นต้องแสดงออกถึงความยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์อย่างแท้จริงและพร้อมด้วยการรำลึกถึงความสำคัญของอิบาดะฮ์ที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญญัติเป็นฟัรฎูแก่ท่านนบี ( ซ.ล )และอุมมะฮ์ของท่านในค่ำคืนที่มีสิริมงคล ด้วยการดำรงไว้ซึ่งการละหมาด