ความละอายเป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน
อาจารย์ อาลี กองเป็ง
اَلْحَمْدُ للهِ الْمُنْعِمِ اْلكَرِيْمِ . اَلْمَنَّانِ الَّذِيْ نَوَّرَبِنُوْرِطَاعَتِهِ قُلُوْبَ اَهْلِ اْلاِيْمَانِ . وَكَتَبَ السَّعَادَةَ لاَهْلِ الْمَعْرُوْفِ وَاْلاِحْسَانِ . اَلْمُنْتَقِمِ مِمَّنْ تَسَبَّبَ فِيْ ضَرَرِالْمُسْلِمِيْنَ وَسَعَى فِي اْلاَرْضِ بِالْفَسَادِ . وَاَشْهَدُ اَنْ لاَاِلَهَ اِلاَّ اللهُ حَكَمَ فَعَدَلْ . وَاَشْهَدُ اَنْ مُحَمَّدًارَسُوْلُ اللهِ الْجَلِيْلِ اْلاَجَلْ . اَلَّلهُمَّ صَلِّ وَسَلِّمْ عَلَى مُحَمَّدٍ . اَلَّذِيْ اَيَّدَهُ اللهُ وَرَفَعَ مِلَّتَهُ فَوْقَ سَائِرِ الْمِلَلْ . وَعَلَى آلِهِ وَاَصْحَابِهِ وَالْعَامِلِيْنَ بِمُقْتَضَى اَحْكَامِ الدِّيْنِ . اَمَّابَعْدُفَيَا عِبَادَ اللهِ اُوْصِيْكُمْ وَنَفْسِيْ اَوَّلاً بِتَقْوَى اللهِ تَعَالَى وَطَاعَتِهِ . فَقَدْقَالَ اللهُ تَعَالَى فِي الْقُرْآنِ اْلكَرِيْمِ : فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
มุสลิมคือผู้ดูแลรักษาตัวโดยเขาจะต้องบันจุส่วนต่างๆของการศรัทธาเพื่อเขาจะได้กลายสภาพเป็นมุมินที่สมบูรณ์ และส่วนหนึ่งของความศรัทธานั้นคือความละอายต่อตัวเองขณะที่เขาจะก้าวเข้าสู่การประพฤติหรือปฎิบัติไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกี่ยวข้องระหว่างบ่าวกับอัลเลาะห์ หรือระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และความละอายต้องเป็นนิสัยติดตัวของคนมุมินเลยทีเดียว
แท้จริงความละอาย (اَلْحَيَاءُ ) เป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน และการอีหม่านเป็นหลักอะกีดะห์ (عَقِيْدَةُ ) ของมุสลิมและเป็นองค์ประกอบที่ค้ำยันการดำเนินชีวิตของเขาไห้ตรง
ท่านร่อซูลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
اْلاِيْمَانُ بِضْعٌ وَسَبْعُوْنَ اَوْبِضْعٌ وَسِتُّوْنَ شُعْبَةً فَاَفْضَلُهَا لاَاِلَهَ الاَّ اللهُ وَاَدْنَاهَااِمَاطَةُ اْلاَذَىْ عَنِ الطَّرِيْقِ وَا لْحَيَاءُ شُعْبَةٌ مِنَ اْلاِيْمَانِ رواه مسلم
ความว่า “ การศรัทธา (الايمان )แบ่งออก 70 , 60 กว่าส่วน ที่ประเสริฐสุดคือ ลาอิลาฮะอิลลั้ลเลาะห์ (اِلَهَ اِلاَّ اللهُ لاَ ) ถัดลงมาคือ การขจัดอันตรายที่กีดขวางทางจราจร และความละอายก็เป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน”
และท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวอีกว่า
اَلْحَيَاءُ وَاْلاِيْمَانُ قُرْنَاءِ جَمِيْعًا فَاِذَارُفِعَ اَحَدُهُمَا رُفِعَ اْلآخَرُ رواه الحاكم ความว่า “ ความละอายและอีหม่านทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมกัน เมื่ออันหนึ่งถูกยกไปอีกส่วนหนึ่งก็สลายไปด้วย”
วิทยะปัญญาของคำว่าความละอายเป็นส่วนหนึ่งแห่งการศรัทธาคือแท้จริงทั้งสอง ( อีหม่าน+ ละอาย) เรียกร้องไปสู่ความดีทั้งภายนอกและภายในและทำไห้หักเหออกจากความชั่วพร้อมปลีกตัวออกห่างไกล อีหม่านชักชวนคนมุมินสู่การ( طَا عَة )ภัคดีต่างๆ และละที้งจาก ( مَعْصِيَةْ ) ความชั่ว
ความละอายหักห้ามผู้นั้นจากการละเลยในการขอบคุณ ( شُكْر ) ต่อผู้สร้างและหย่อนยานต่อสิทธิที่พึงปฎิบัติ เฉกเช่นเดียวกับผู้ที่มีความละอายจะไม่ย่างสู่การกระทำที่น่ารังเกียดและสู่คำพูดที่น่าตำหนิประณาม ดังนั้นเมื่อความอายคือความดีอย่างหนึ่งมันก็จะไม่นำมาเว้นแต่เป็นสิ่งดีเท่านั้น
สิ่งที่ตรงข้ามความไม่มียางอายนามว่าความ ( اَلْبَذَاءُ ) คือความน่ารังเกียดทั้งคำพูดและการกระทำ พูดจามะวังและไม่รักษาว่าจะเกิดผลลบหรือบวก มุสลิมจะไม่มีลักษณะเป็นผู้หยาบช้าในการพูดและการกระทำที่เรียกว่าเลวร้ายมีแต่ความกระด้างไร้ความอ่อนโยนเพราะคุณลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะของชาวนรกและอันที่จริงมุสลิมต้องเป็นส่วนหนึ่งของชาวสวรรค์اِنْ شَاءَ اللهُ การกระทำที่ขาดความละอายนำมาเป็นบุคลิกลักษณะของเขาไม่ได้ ท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
اَلْحَيَاءُ مِنَ اْلاِيْمَانِ وَاْلاِيْمَانُ فِي الْجَنَّةِ وَاْلبَذَاءُ مِنَ الْجَفَاءِ وَالْجَفَاءُ فِي النَّارِ ]
رواه مسلم واحمد
ความว่า “ ความละอายเป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน ผู้มีอีหม่านคือชาวสวรรค์ ผู้น่ารังเกียดทั้งคำพูดและการกระทำเป็นส่วนหนึ่งของการไร้ค่าและผู้ไร้ค่าคือชาวนรก”
ผู้ที่เป็นแบบฉบับในเรื่องของความละอายคือท่านนบีนายแห่งบรรดาร่อซู้ล เพราะท่านบีมีความละอายยิ่ง มากไปกว่าหญิงสาวบริสุทธ์ในห้องของเธอ
ดังมีรายงานจากท่านอบีสอีดว่า
فَاِذَارَآى شَيْئًايَكْرَهُهُ عَرَفْنَاهُ فِي وَجْهِهِ رواه البخاري
ความว่า “ เมื่อท่านนบีแลเห็นสิ่งใดที่น่ารังเกียดพวกเราจะรู้ใด้ด้วยอาการทางสีหน้าของท่าน”
และในฮดีษซอเฮี๊ยะห์กล่าวว่า
أنْ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَرَّبِرَجُلٍ يَعِظُ اَخَاهُ فِي الْحَيَاءِ فَقَالَ : دَعْهُ فَاِنَّ الْحَيَاءَ مِنَ اْلاِيْمَانِ رواه البخاري وابوداود والنسائي
ความว่า “ แท้จริงท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเดินผ่านไปยังชายผู้หนึ่งกำลังตักเตือนน้องชายของเขาในเรื่องของกำรมีความละอาย ท่านร่อซู้ลจึงกล่าวว่า จงปล่อยไห้เขาสอนเถอะเพราะความละอายเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา”
ท่านนบีเรียกร้องมุสลิมให้คงไว้ซึ่งความอายถึงแม้นว่าผู้นั้นจะลดหย่อนไปบ้างซึ่งสิทธิที่พึงได้ เพราะการบกพร่องไปจากสิทธิที่ควรใดดีกว่าเขาขาดไปซึ่งความละอายเนื่องจากว่าความละอายเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา
ขอพระองค์อัลเลาะห์ใด้โปรดทรงเมตตาหญิงคนหนึ่ง ลูกสุดที่รักของเธอได้พัดหลงจากเธอไป เธอจึงหยุดอยู่ที่ชนกลุ่มหนึ่งเพื่อไตร่ถามหาลูกของเธอ ได้มีชายผู้หนึ่งในกลุ่มชนนั้นกล่าวเสียงดังขึ้นว่า นี้เธอตามหาลูกและถามหาลูกทั้งๆที่เธอคลุมหน้าคลุมตาอย่างนี้หรือ เมื่อหญิงผู้นี้ได้ยินเธอจึงตอบว่า
لاَنْ اُزْرَاَ فِيْ وَلَدِيْ خَيْرٌ مِنْ اَنْ اُزْرَاَ فِيْ حَيَائِيْ اَيُّهَا الرَّجُلُ رواه ابوداود
ความว่า “ความเดือดร้อนที่เสียหายในลูกของฉันยังดีกว่าความเสียหายที่เดือดร้อนอันเกิดจากการขาดความละอายของฉันโอ้ชายเอ๋ย”
และความละอายไม่ไช่ข้อห้ามในการพูดความจริง หรือแสวงหาความรู้ หรือใช้ไห้ทำความดีและห้ามจากความชั่ว ซึ่งมีเหตุการณ์ที่อุซามะห์บุตรของซัยดขอความช่วยเหลือให้แก่หญิงผู้หนึ่งอยู่ในตระกูลที่สูงได้ขโมยถึงขั้นต้องโดนลงโทษก็ไม่ถือว่าขาดความละอายในการแสดงอาการโกรธที่ท่านนบีกล่าวแก่อุซามะห์สภาพดังกล่าวว่า
اَتَشْفَعُ فِيْ حَدٍّ مِنْ حُدُوْدِ اللهِ يَااُسَامَةُ وَاللهِ لَوْسَرَقَتْ فَاطِمَةُ بِنْتُ مُحَمَّدٍلَقَطَعْتُ يَدَهَا رواه البخاري وابوداود والنسائي
โอ้อุซามะห์ท่านจะขอผ่อนผันในบทลงโทษหนึ่งจากบทลงโทษต่างๆของอัลเลาะห์กระนั้นหรือ ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า มาดแม้นฟาฎิมะห์บุตรของมุฮำหมัดใด้ขโมยข้าพเจ้าจะตัดมือของเธอเอง และไม่นับว่าในหญิงผู้หนึ่งนามชื่อว่า อุมุซุลัยมินอั้ลอันซอรียะห์ ( اُمُّ سُلَيْمٍ اْلاَنْصَارِيَّةُ ) ขณะที่เธอถามว่าโอ้ท่านร่อซู้ลแท้จริงอัลเลาะห์ไม่ทรงอายในเรื่องสัจธรรม หญิงผู้หนึ่งจำเป็นต้องอาบน้ำยกฮะดัสใหญ่หรือไม่เมื่อเธอฝัน (มีเพศสัมพันธ์) ท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมตอบโดยไม่ถือว่าขาดความละอายว่า
نَعَمْ اِذَارَاَتِ الْمَاءَ رواه البخاري
ความว่า “ต้องอาบถ้าแม้นเธอแลเห็นน้ำ”
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก ความเป็นมุสลิมจะต้องมีความละอายต่อมนุษย์ด้วยกันเขาต้องไม่เปิดเผยอวัยวะที่จำเป็นต้องปกปิด (عَوْرَةْ )และต้องไม่ละเลยจากน่าที่ของเขาที่ต้องมีต่อผู้อื่นพร้อมไม่ปฎิเสธกับการรับการตักเตือน อย่าโต้ตอบด้วยสำนวนที่แสดงถึงความอ่อนแอของอีหม่าน และเช่นเดียวกันนั้นมุสลิมต้องมีความละอายต่อผู้สร้างอย่าเลินเล่อและหย่อนยานในการภัคดี (طَاعَةْ )ต่ออัลเลาะห์ พร้อมที่จะไม่ลืมขอบคุณ (شُكْر) ต่ออัลเลาะห์จากความผาสุก ( نِعْمَةْ )ที่พระองค์ทรงประทานให้โดยการกระทำความดีเพิ่มมากยิ่งกว่าเก่า อัลเลาะห์ตรัสว่า
لَئِنْ شَكَرْتُمْ لاَزِيْدَنَّكُمْ
ความว่า “ มาดแม้นท่านทั้งหลายใด้ขอบคุณ (شُكْر ) เรา (อัลเลาะห์ )จะทวีคูณแก่พวกเจ้า
ขอฝากคำพูดของท่านอิบนุมัสอูดเพื่อเป็นอนุสติแก่ตัวข้าพเจ้าและพี่น้องที่รัก”
اِسْتَحْيُوْا مِنَ اللهِ حَقَّ الْحَيَاءِ فَاحْفَظُوْا الرَّاْسَ وَمَاوَعَى وَاْلبَطْنَ وَمَاحَوَى وَاذْكُرُواالْمَوْتَ وَاْلبِلَى اخرجه المنذري مرفوعا ورجح وقفه على ابن مسعود
“ท่านทั้งหลายจงรู้สึกละอายต่ออัลเลาะห์ซึ่งแก่นแท้ของความละอาย และจงรักษาส่วนสมองพร้อมกับสิ่งที่บรรจุใว้ และจงรักษาส่วนท้องพร้อมกับสิ่งที่สะสมใว้ และจงรำลึกถึงความตายพร้อมกับความเน่าสลาย”
اَقُوْلُ قَوْلِيْ هَذَا وَاَسْتَغْفِرُ اللهَ اْلعَظِيْمَ لِيْ وَلَكُمْ وَلِسَائِرِ الْمُسْلِمِيْنَ وَالْمُسْلِمَاتِ فَاسْتَغْفِرُوْهُ اِنَّهُ هُوَ الْغَفُوْرُ
الرَّحِيْمُ