วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คุตบะห์วันศุกร์

 ความละอายเป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน                    
อาจารย์ อาลี  กองเป็ง
     
  اَلْحَمْدُ للهِ الْمُنْعِمِ اْلكَرِيْمِ  .  اَلْمَنَّانِ الَّذِيْ نَوَّرَبِنُوْرِطَاعَتِهِ قُلُوْبَ اَهْلِ اْلاِيْمَانِ  .  وَكَتَبَ السَّعَادَةَ لاَهْلِ الْمَعْرُوْفِ وَاْلاِحْسَانِ  .  اَلْمُنْتَقِمِ مِمَّنْ تَسَبَّبَ فِيْ ضَرَرِالْمُسْلِمِيْنَ وَسَعَى فِي اْلاَرْضِ بِالْفَسَادِ  .  وَاَشْهَدُ اَنْ لاَاِلَهَ اِلاَّ اللهُ حَكَمَ فَعَدَلْوَاَشْهَدُ اَنْ مُحَمَّدًارَسُوْلُ اللهِ الْجَلِيْلِ اْلاَجَلْ  .  اَلَّلهُمَّ صَلِّ وَسَلِّمْ عَلَى مُحَمَّدٍ  .  اَلَّذِيْ اَيَّدَهُ اللهُ وَرَفَعَ مِلَّتَهُ فَوْقَ سَائِرِ الْمِلَلْ  .  وَعَلَى آلِهِ وَاَصْحَابِهِ وَالْعَامِلِيْنَ بِمُقْتَضَى اَحْكَامِ الدِّيْنِ  .   اَمَّابَعْدُفَيَا عِبَادَ اللهِ  اُوْصِيْكُمْ وَنَفْسِيْ اَوَّلاً بِتَقْوَى اللهِ تَعَالَى وَطَاعَتِهِ  .     فَقَدْقَالَ اللهُ تَعَالَى فِي الْقُرْآنِ اْلكَرِيْمِفَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ  وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّايَرَهُ

 ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
                 มุสลิมคือผู้ดูแลรักษาตัวโดยเขาจะต้องบันจุส่วนต่างๆของการศรัทธาเพื่อเขาจะได้กลายสภาพเป็นมุมินที่สมบูรณ์  และส่วนหนึ่งของความศรัทธานั้นคือความละอายต่อตัวเองขณะที่เขาจะก้าวเข้าสู่การประพฤติหรือปฎิบัติไม่ว่าการกระทำนั้นจะเกี่ยวข้องระหว่างบ่าวกับอัลเลาะห์  หรือระหว่างมนุษย์ด้วยกัน  และความละอายต้องเป็นนิสัยติดตัวของคนมุมินเลยทีเดียว
แท้จริงความละอาย  (اَلْحَيَاءُ   )  เป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน  และการอีหม่านเป็นหลักอะกีดะห์  (عَقِيْدَةُ )  ของมุสลิมและเป็นองค์ประกอบที่ค้ำยันการดำเนินชีวิตของเขาไห้ตรง
ท่านร่อซูลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
 اْلاِيْمَانُ بِضْعٌ وَسَبْعُوْنَ اَوْبِضْعٌ وَسِتُّوْنَ شُعْبَةً فَاَفْضَلُهَا  لاَاِلَهَ الاَّ اللهُ  وَاَدْنَاهَااِمَاطَةُ اْلاَذَىْ عَنِ الطَّرِيْقِ وَا لْحَيَاءُ شُعْبَةٌ مِنَ اْلاِيْمَانِ     رواه مسلم
ความว่า  “ การศรัทธา  (الايمان  )แบ่งออก  70 ,  60  กว่าส่วน ที่ประเสริฐสุดคือ  ลาอิลาฮะอิลลั้ลเลาะห์  (اِلَهَ اِلاَّ اللهُ لاَ ) ถัดลงมาคือ  การขจัดอันตรายที่กีดขวางทางจราจร  และความละอายก็เป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน”
และท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวอีกว่า
                                              اَلْحَيَاءُ وَاْلاِيْمَانُ قُرْنَاءِ جَمِيْعًا فَاِذَارُفِعَ اَحَدُهُمَا رُفِعَ اْلآخَرُ   رواه الحاكم       ความว่า  “ ความละอายและอีหม่านทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมกัน  เมื่ออันหนึ่งถูกยกไปอีกส่วนหนึ่งก็สลายไปด้วย”
           วิทยะปัญญาของคำว่าความละอายเป็นส่วนหนึ่งแห่งการศรัทธาคือแท้จริงทั้งสอง  ( อีหม่าน+ ละอาย) เรียกร้องไปสู่ความดีทั้งภายนอกและภายในและทำไห้หักเหออกจากความชั่วพร้อมปลีกตัวออกห่างไกล  อีหม่านชักชวนคนมุมินสู่การ( طَا عَة )ภัคดีต่างๆ และละที้งจาก ( مَعْصِيَةْ   ) ความชั่ว
           ความละอายหักห้ามผู้นั้นจากการละเลยในการขอบคุณ  ( شُكْر  )  ต่อผู้สร้างและหย่อนยานต่อสิทธิที่พึงปฎิบัติ  เฉกเช่นเดียวกับผู้ที่มีความละอายจะไม่ย่างสู่การกระทำที่น่ารังเกียดและสู่คำพูดที่น่าตำหนิประณาม  ดังนั้นเมื่อความอายคือความดีอย่างหนึ่งมันก็จะไม่นำมาเว้นแต่เป็นสิ่งดีเท่านั้น
สิ่งที่ตรงข้ามความไม่มียางอายนามว่าความ  ( اَلْبَذَاءُ      )  คือความน่ารังเกียดทั้งคำพูดและการกระทำ  พูดจามะวังและไม่รักษาว่าจะเกิดผลลบหรือบวก  มุสลิมจะไม่มีลักษณะเป็นผู้หยาบช้าในการพูดและการกระทำที่เรียกว่าเลวร้ายมีแต่ความกระด้างไร้ความอ่อนโยนเพราะคุณลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะของชาวนรกและอันที่จริงมุสลิมต้องเป็นส่วนหนึ่งของชาวสวรรค์اِنْ شَاءَ اللهُ        การกระทำที่ขาดความละอายนำมาเป็นบุคลิกลักษณะของเขาไม่ได้                                       ท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
اَلْحَيَاءُ مِنَ اْلاِيْمَانِ  وَاْلاِيْمَانُ فِي الْجَنَّةِ  وَاْلبَذَاءُ مِنَ الْجَفَاءِ  وَالْجَفَاءُ فِي النَّارِ     ]
رواه مسلم  واحمد
ความว่า  “ ความละอายเป็นส่วนหนึ่งจากการอีหม่าน  ผู้มีอีหม่านคือชาวสวรรค์  ผู้น่ารังเกียดทั้งคำพูดและการกระทำเป็นส่วนหนึ่งของการไร้ค่าและผู้ไร้ค่าคือชาวนรก”
                ผู้ที่เป็นแบบฉบับในเรื่องของความละอายคือท่านนบีนายแห่งบรรดาร่อซู้ล  เพราะท่านบีมีความละอายยิ่ง  มากไปกว่าหญิงสาวบริสุทธ์ในห้องของเธอ
ดังมีรายงานจากท่านอบีสอีดว่า
فَاِذَارَآى شَيْئًايَكْرَهُهُ عَرَفْنَاهُ فِي وَجْهِهِ    رواه البخاري                                    

ความว่า “ เมื่อท่านนบีแลเห็นสิ่งใดที่น่ารังเกียดพวกเราจะรู้ใด้ด้วยอาการทางสีหน้าของท่าน”
และในฮดีษซอเฮี๊ยะห์กล่าวว่า
أنْ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَرَّبِرَجُلٍ يَعِظُ اَخَاهُ فِي الْحَيَاءِ فَقَالَ  :  دَعْهُ فَاِنَّ الْحَيَاءَ مِنَ اْلاِيْمَانِ           رواه البخاري وابوداود والنسائي
ความว่า  “ แท้จริงท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเดินผ่านไปยังชายผู้หนึ่งกำลังตักเตือนน้องชายของเขาในเรื่องของกำรมีความละอาย  ท่านร่อซู้ลจึงกล่าวว่า  จงปล่อยไห้เขาสอนเถอะเพราะความละอายเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา”
ท่านนบีเรียกร้องมุสลิมให้คงไว้ซึ่งความอายถึงแม้นว่าผู้นั้นจะลดหย่อนไปบ้างซึ่งสิทธิที่พึงได้  เพราะการบกพร่องไปจากสิทธิที่ควรใดดีกว่าเขาขาดไปซึ่งความละอายเนื่องจากว่าความละอายเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา
ขอพระองค์อัลเลาะห์ใด้โปรดทรงเมตตาหญิงคนหนึ่ง  ลูกสุดที่รักของเธอได้พัดหลงจากเธอไป  เธอจึงหยุดอยู่ที่ชนกลุ่มหนึ่งเพื่อไตร่ถามหาลูกของเธอ  ได้มีชายผู้หนึ่งในกลุ่มชนนั้นกล่าวเสียงดังขึ้นว่า   นี้เธอตามหาลูกและถามหาลูกทั้งๆที่เธอคลุมหน้าคลุมตาอย่างนี้หรือ  เมื่อหญิงผู้นี้ได้ยินเธอจึงตอบว่า
لاَنْ اُزْرَاَ فِيْ وَلَدِيْ خَيْرٌ مِنْ اَنْ اُزْرَاَ فِيْ حَيَائِيْ اَيُّهَا الرَّجُلُ     رواه ابوداود  

ความว่า   “ความเดือดร้อนที่เสียหายในลูกของฉันยังดีกว่าความเสียหายที่เดือดร้อนอันเกิดจากการขาดความละอายของฉันโอ้ชายเอ๋ย”
และความละอายไม่ไช่ข้อห้ามในการพูดความจริง  หรือแสวงหาความรู้  หรือใช้ไห้ทำความดีและห้ามจากความชั่ว   ซึ่งมีเหตุการณ์ที่อุซามะห์บุตรของซัยดขอความช่วยเหลือให้แก่หญิงผู้หนึ่งอยู่ในตระกูลที่สูงได้ขโมยถึงขั้นต้องโดนลงโทษก็ไม่ถือว่าขาดความละอายในการแสดงอาการโกรธที่ท่านนบีกล่าวแก่อุซามะห์สภาพดังกล่าวว่า
اَتَشْفَعُ فِيْ حَدٍّ مِنْ حُدُوْدِ اللهِ يَااُسَامَةُ   وَاللهِ لَوْسَرَقَتْ فَاطِمَةُ بِنْتُ مُحَمَّدٍلَقَطَعْتُ يَدَهَا     رواه البخاري وابوداود والنسائي
โอ้อุซามะห์ท่านจะขอผ่อนผันในบทลงโทษหนึ่งจากบทลงโทษต่างๆของอัลเลาะห์กระนั้นหรือ  ขอสาบานต่ออัลเลาะห์ว่า มาดแม้นฟาฎิมะห์บุตรของมุฮำหมัดใด้ขโมยข้าพเจ้าจะตัดมือของเธอเอง   และไม่นับว่าในหญิงผู้หนึ่งนามชื่อว่า   อุมุซุลัยมินอั้ลอันซอรียะห์  ( اُمُّ سُلَيْمٍ اْلاَنْصَارِيَّةُ  )  ขณะที่เธอถามว่าโอ้ท่านร่อซู้ลแท้จริงอัลเลาะห์ไม่ทรงอายในเรื่องสัจธรรม  หญิงผู้หนึ่งจำเป็นต้องอาบน้ำยกฮะดัสใหญ่หรือไม่เมื่อเธอฝัน (มีเพศสัมพันธ์) ท่านร่อซู้ลซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมตอบโดยไม่ถือว่าขาดความละอายว่า
نَعَمْ اِذَارَاَتِ الْمَاءَ           رواه البخاري
ความว่า “ต้องอาบถ้าแม้นเธอแลเห็นน้ำ”
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก  ความเป็นมุสลิมจะต้องมีความละอายต่อมนุษย์ด้วยกันเขาต้องไม่เปิดเผยอวัยวะที่จำเป็นต้องปกปิด (عَوْرَةْ )และต้องไม่ละเลยจากน่าที่ของเขาที่ต้องมีต่อผู้อื่นพร้อมไม่ปฎิเสธกับการรับการตักเตือน  อย่าโต้ตอบด้วยสำนวนที่แสดงถึงความอ่อนแอของอีหม่าน  และเช่นเดียวกันนั้นมุสลิมต้องมีความละอายต่อผู้สร้างอย่าเลินเล่อและหย่อนยานในการภัคดี (طَاعَةْ  )ต่ออัลเลาะห์ พร้อมที่จะไม่ลืมขอบคุณ (شُكْر)  ต่ออัลเลาะห์จากความผาสุก  ( نِعْمَةْ )ที่พระองค์ทรงประทานให้โดยการกระทำความดีเพิ่มมากยิ่งกว่าเก่า อัลเลาะห์ตรัสว่า    
لَئِنْ شَكَرْتُمْ لاَزِيْدَنَّكُمْ
ความว่า “ มาดแม้นท่านทั้งหลายใด้ขอบคุณ  (شُكْر  ) เรา (อัลเลาะห์ )จะทวีคูณแก่พวกเจ้า
ขอฝากคำพูดของท่านอิบนุมัสอูดเพื่อเป็นอนุสติแก่ตัวข้าพเจ้าและพี่น้องที่รัก”
اِسْتَحْيُوْا مِنَ اللهِ حَقَّ الْحَيَاءِ فَاحْفَظُوْا الرَّاْسَ وَمَاوَعَى  وَاْلبَطْنَ وَمَاحَوَى   وَاذْكُرُواالْمَوْتَ وَاْلبِلَى        اخرجه المنذري مرفوعا  ورجح وقفه على ابن مسعود
“ท่านทั้งหลายจงรู้สึกละอายต่ออัลเลาะห์ซึ่งแก่นแท้ของความละอาย   และจงรักษาส่วนสมองพร้อมกับสิ่งที่บรรจุใว้  และจงรักษาส่วนท้องพร้อมกับสิ่งที่สะสมใว้  และจงรำลึกถึงความตายพร้อมกับความเน่าสลาย”
اَقُوْلُ قَوْلِيْ هَذَا وَاَسْتَغْفِرُ اللهَ اْلعَظِيْمَ لِيْ وَلَكُمْ وَلِسَائِرِ الْمُسْلِمِيْنَ وَالْمُسْلِمَاتِ فَاسْتَغْفِرُوْهُ اِنَّهُ هُوَ الْغَفُوْرُ
الرَّحِيْمُ



หน้าแรก             คุตบะห์