กลิ่นอายของความศรัทธา
โดย อ. อาลี กองเป็ง
اَلْحَمْدُ ِللهِ الَّذِيْ اَنْزَلَ دِيْنَهُ
لِيَعْمَلَ بِهِ عِبَادُهُ فَيَكُوْنُوْا مِنْ اَهْلِ الْفَلاَحِ . وَاَشْهَدُاَنْ
لاَاِلَهَ اِلاَّ اللهُ الَّذِيْ خَلَقَنَاهُنَالِيَتَمَيَّزَ اْلعَاصُوْنَ مِنْ اَهْلِ
الصَّلاَحِ . وَاَشْهَدُاَنَّ سَيِّدَنَامُحَمَّدًاعَبْدُهُ
وَرَسُوْلُهُ بُعِثَ لِتَهْذِيْبِ اْلأَرْوَاحِ
. اَلَّلهُمَّ صَلِّ وَسَلِّمْ عَلَى
سَيِّدِنَامُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِهِ وَصَحْبِهِ وَمَنِ اقْتَدَى بِهَدْيِهِ الْمُبِيْن . اَمَّابَعْدُفَيَاعِبَادَاللهِ . اِتَّقُوااللهَ
حَقَّ تُقَاتِهِ وَلاَتَمُوْتُنَّ اِلاَّ وَاَنْتُمْ مُسْلِمُوْنَ . فَقَدْقَالَ
اللهُ تَعَالَى فِي الْقُرْآنِ الْكَرِيْمِ
: مَنْ عَمِلَ صَالِحًامِنْ ذَكَرٍاَوْاُنْثَى
وَهُوَمُؤْمِنٌ فَلَنُحْيِيَنَّهُ حَيَاةً طَيِّبَةً وَلَنَجْزِيَنَّهُمْ اَجْرَهُمْ
بِاَحْسَنِ مَاكَانُوْايَعْمَلُوْنَ .
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
มาซีเตาะห์ ( مَاشِطَةْ ) ชื่อของหญิงคนหนึ่งที่มีความอีหม่าน
เธอดำรงชีวิตกับครอบครัวของเธอภายใต้การปกครองของฟาโรห์ ซึ่งอ้างตัวเป็นพระเจ้า
สามีเธอเป็นคนใกล้ชิดของฟาโรห์ (ฟิรเอาน์) แต่เธอเป็นคนรับใช้และผู้ดูแลบุตรสาวของฟาโรห์
อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ทรงประทานความแน่นแฟ้นแห่งความศรัทธาเหนือสามีของเธอและตัวของเธอ
จนกระทั่งฟาโรห์ทราบว่าสามีเธออีหม่านต่ออัลเลาะห์ จึงได้ฆ่าสามีของเธอ
ส่วนตัวเธอก็ยังคงทำหน้าที่เป็นคนรับใช้และหวีผมให้แก่บุตรสาวของฟาโรห์ พร้อมยังเลี้ยงดูลูกของเธออีก 5 คน เธอได้นำอาหารมาให้ลูกของเธอ
เหมือนกับแม่นกที่ให้อาหารลูก ๆ ที่อยู่ในรัง
ในขณะที่เธอหวีผมให้แก่ลูกสาวของฟาโรห์
ในวันหนึ่งบังเอิญหวีหลุดจากมือเธอ เธอก็กล่าวว่า
บิสมิ้ลละห์( بِسْمِ اللهِ ) ด้วยพระนามแห่งอัลเลาะห์
ลูกสาวฟาโรห์จึงกล่าวว่า บิดาของข้าคือพระเจ้า มาซีเตาะห์จึงส่งเสียงร้องว่า
หาเป็นเช่นนั้นไม่ อัลเลาะห์คือพระเจ้าของข้าพเจ้าและของเธอ และเป็นพระเจ้าของพ่อของเธอ ลูกสาวฟาโรห์เกิดความไม่พอใจที่มาซีเตาะห์กราบไหว้อื่นจากบิดาของเธอ เธอจึงนำเรื่องดังกล่าวไปทูลต่อบิดาของเธอ
ฟาโรห์เกิดแปลกใจว่ายังมีคนในปราสาทที่กราบไหว้อื่นจากเขากระนั้นหรือ จึงให้ทหารไปนำมาซีเตาะห์มา
และฟาโรห์ก็กล่าวแก่เธอว่า ใครคือพระเจ้าของเจ้า
มาซีเตาะห์ตอบว่า พระเจ้าของข้าพเจ้าและของท่านคืออัลเลาะห์
และขู่บังคับให้มาซีเตาะห์ละทิ้งจากศาสนา และนำไปกักขังและลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี
แต่ก็ไม่ทำให้เธอละทิ้งจากศาสนาของเธอ
ฟาโรห์จึงมีคำสั่งใช้ให้เหล่าทหารน้ำหม้อที่ทำจากทองเหลือง
ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำมันตั้งบนกองไฟจนเดือดจัด
และนำเธอมายืนอยู่ต่อหน้าหม้อน้ำมันที่เดือดจัดนั้น มาซีเตาะห์
เมื่อเธอแลเห็นการทรมานทำให้เธอยิ่งมั่นใจว่าเธอคือชีวิตเดียวที่ต้องจากไป
และก็จะได้พบกับ
อัลเลาะห์(ซ.บ) ความตายไม่ได้ทำให้เธอขาดอีหม่านเลย
แต่กระนั้นฟาโรห์รู้ดีว่าสิ่งที่เธอรักมากที่สุดนั้นคือลูก ๆ ของเธออีก 5 คน
ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่เธอต้องเลี้ยงดูอยู่ ความชั่วร้ายของฟาโรห์ทำให้ฟาโรห์ มีความปรารถนาเพิ่มการทารุณ
จึงได้ใช้ทหารไปนำลูกทั้ง 5 คน ของเธอมาด้วย น้ำตาของลูกกำพร้าทั้ง 5 คน
ไหลรินและไม่ทราบว่าจะถูกลากไปไหน เมื่อลูกกำพร้าทั้ง 5 คน แลเห็นมารดาของพวกเขา
จึงเข้ามากอดเธอพร้อมกับสภาพที่น้ำตายังอาบแก้ม มาซีเตาะห์ก้มลงจูบและหอมลูก ๆ
ของเธอ พร้อมกับร้องไห้ เธอได้อุ้มลูกคนเล็กที่สุดไว้ในอ้อมอก และให้นมจากทรวงอกของเธอ
เมื่อฟาโรห์เห็นสภาพดังกล่าว จึงใช้บรรดาทหารลากลูกของเธอคนโตสุด
และโยนไปบนน้ำมันที่เดือด เสียงเด็กร้องหาแม่และขอความช่วยเหลือ บรรดาทหารขอความเมตตาจากฟาโรห์
แต่ก็ไม่ได้รับความปราณีแม้แต่นิดเดียว
ลูกของเธอที่เหลืออยู่ก็ส่งเสียงร้องพร้อมกับตีทหารด้วยกับสองมือเล็ก ๆ
สภาพที่ทหารกระชากลูก ๆ ของเธอ และเธอก็ยืนมองแบบอำลา ไม่ได้ผ่านไปเว้นเสียแต่เวลาอันเล็กน้อย
ลูกของเธอก็ถูกโยนไปในน้ำมันที่เดือด เธอไม่สามารถขัดขวางได้ นอกเสียจากการร้องไห้
และยืนมอง ส่วนลูกที่เหลืออยู่ของเธอก็เอามืออันเล็กปิดตา
จนกระทั่งเนื้อในหม้อน้ำมันที่เดือดละลาย กระดูกที่มี สีขาวลอยขึ้นสู่ผิวน้ำมันที่เดือด
ฟาโรห์ได้มองมายังมาซีเตาะห์และบังคับให้เธอปฏิเสธอัลเลาะห์
ความอีหม่านทำให้เธอยืนหยัด
จึงสร้างความโกรธให้แก่ฟาโรห์เป็นทวีคูณ
จึงได้ให้ทหารกระชากลูกคนที่สองรองลงมาออกจากอกแม่
ขณะเสียงของลูกเรียกหาแม่และขอความช่วยเหลือ
จนกระทั่งถูกโยนลงไปในหม้อน้ำมันที่เดือด เธอยืนมองด้วยหัวใจที่สลาย
กับเนื้อของลูกที่ละลาย กระดูกที่ขาวลอยขึ้นมาปะปนกับกระดูกของลูกชายคนโต
มาซีเตาะห์ยังคงยืนหยัดบนศาสนาของเธอ มั่นใจต่อการพบพระเจ้าของเธอ ฟาโรห์ได้ทำเช่นนี้กับคนที่ 3 และ 4 แต่ก็ไม่ทำให้อีหม่านของมาซีเตาะห์ลดหย่อนไปเลย
สายตาของเธอมองไปยังหม้อน้ำมันที่เดือดเนื้อหนังของลูก ๆ ละลาย
เสียงร้องไห้สิ้นสุด เธอเพียงแต่ได้กลิ่นของเนื้อและเห็นกระดูกเล็ก ๆ
ลอยเหนือน้ำมันที่เดือด เธอคือแม่ที่มองกระดูกของลูก ๆ ความจริงลูก ๆ
ของเธอจากเธอไปสู่อีกโลกหนึ่งแล้ว
เธอร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือด เพราะการจากไปของลูก ๆ
เธอสิ้นหวังแล้วจากการนำลูกสู่ทรวงอกของเธอ และให้นมลูกจากทรวงอกของเธอ และเธอหมดหวังแล้วจากการอดหลับอดนอนเมื่อลูก ๆ
ของเธอตื่นและสิ้นหวังแล้วที่จะร้องไห้ จากการร้องไห้ของลูก ๆ
กี่คืนแล้วที่ลูกนอนบนตักของเธอ เล่น ดึงผมของเธอ
เธอหมดหวังแล้วที่จะสวมใส่เสื้อผ้าให้แก่ลูก ๆ และสิ้นหวังจากการปกป้องอันตรายแก่ลูก
ๆ ขณะนั้นลูกเล็กของเธอกำลังดื่มนมจากทรวงอกของเธอ
ทหารของฟาโรห์ที่ชั่วร้ายได้กระชากลูกของเธอออกจากทรวงอกเสียงร้องดังขึ้นจากเด็กที่ไร้เดียงสาและเสียงร้องไห้อันเจ็บปวดจากหญิงที่น่าสงสารที่หัวใจแตกสลาย
อัลเลาะห์จึงให้เด็กน้อยพูดได้โดยเด็กน้อยกล่าวแก่ผู้เป็นแม่ไปว่า (
يَااُمَّاهْ اِصْبِرِيْ
فَاِنَّكِ عَلَى الْحَقِّ
)
ความว่า โอ้คุณแม่สุดที่รักเธอจงอดทนเถิดแท้จริงเธออยู่บนสัจธรรม
เมื่อสิ้นสุดเสียงของลูกเธอ
เธอก็เพียงแต่เห็นว่าลูกเธอคนเล็กถูกโยนไปในหม้อน้ำมันที่เดือดเหมือนกับพี่น้อง ทั้ง ๆ ที่ในปากของลูกคนเล็กยังมีน้ำนมของเธออยู่และในมือยังมีเส้นผมจากเส้นผมของเธอและคราบน้ำตาของลูกยังคงติดที่เสื้อผ้าของเธอ ลูกทั้ง 5 คนของเธอได้จากเธอไปแล้ว
เธอผู้น่าสงสารมองไปยังกระดูกของลูกๆที่ลอยในน้ำมันประดุจดังวิญญาณของเธอที่กำลังจะล่องลอยออกจากเรือนร่าง เธอไม่สามารถแม้แต่เพียงเช็ดน้ำตาให้ลูกแม้แต่ครั้งเดียว ขณะเดียวกันเธอสามารถที่จะปกป้องลูกได้โดยการเพียงพูดเป็นประโยคสั้นเพียงประโยดเดียวให้ฟาโรห์ได้ยินว่าเธอปฏิเสธอัลเลาะห์แต่เธอก็ไม่กระทำดังกล่าวเพราะเธอทราบดีว่า ณ
ที่อัลเลาะห์(ซ.บ.) นั้นคือความดีตอบแทนและคงทนถาวร เวลาไม่ได้ผ่านไปนานเท่าใดเลย เหล่าทหารของฟาโรห์ได้จู่โจมและลากเธอเหมือนกับหมาบ้า
เมื่อเหล่าทหารได้ลากเธอเพื่อจะโยนเธอไปในหม้อน้ำมันที่เดือด เธอได้มองไปยังกระดูกของลูก ๆ ของเธอ เธอก็นึกได้ว่าเธอจะใช้ชีวิตพร้อมกับลูก ๆ ของเธอในโลกหน้าแล้ว เธอได้เหลียวมองไปยังฟาโรห์ และกล่าวว่าโอ้ฟาโรห์ข้ามีความปรารถนาจากท่าน ฟาโรห์จึงส่งเสียงร้องอันดังว่า
เธอต้องการอะไร? มาซีเตาะห์กล่าวว่า
ให้ท่านเอากระดูกของข้าพเจ้าและกระดูกของลูก ๆ
ข้าพเจ้ารวมกันและฝังมันในหลุมเดียวกัน เธอปิดสองสายตาของเธอและถูกโยนลงไปในน้ำมันที่เดือด
เนื้อหนังของเธอไหม้เกรียม กระดูกสีขาวลอยเหนือปากหม้อ
ความยืนหยัดของเธอช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินและผลบุญของเธอก็มากมาย
ท่านนบี(ซ.ล) ได้แลเห็นในคืนอิสรออฺ
เสี้ยวหนึ่งจากความผาสุขของมาซีเตาะห์ จึงได้เล่าให้แก่บรรดาซอฮาบะห์ฟังโดยมีบันทึกจากท่านบัยฮะกีย์ว่า
لمَاَّاُسْرِيَ بِيْ مَرَّتْ بِيْ رَائِحَةٌ
طَيِّبَةٌ .. فَقُلْتُ : مَاهَذِهِ الرَّائِحَةُ؟ فَقِيْلَ لِيْ : هَذِهِ مَاشِطَةْ
بِنْتُ فِرْعَوْنَ وَاَوْلاَدُهَا ....
ความว่า เมื่อข้าพเจ้าได้ถูกนำพา(อิสรออฺและเมี๊ยะรอจ)
ได้มีกลิ่นหอมอบอวลผ่านมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ถามว่านี่คือกลิ่นอะไรกัน
จึงมีคำตอบแก่ข้าพเจ้าว่านี่คือกลิ่นหอมของมาซีเตาะห์และลูก ๆ ของเธอ
ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
ท่านจงเหน็ดเหนื่อยและอดทนในวันนี้
ท่านจะได้พักผ่อนในวันพรุ่งนี้ แท้จริงชาวสวรรค์จะถูกกล่าวแก่พวกเขาในวันกิยามะห์ว่า
سَلاَمٌ عَلَيْكُمْ بِمَا صَبَرْتُمْ
فَنِعْمَ عُقْبَى الدَّارِ . الرعد 24
ความว่า
ความศานติจงมีแด่พวกท่านเนื่องด้วยพวกท่านได้อดทน มันชังดีเสียนี้กระไรที่พำนักบั้นปลายนี้
اَقُوْلُ قَوْلِيْ هَذَا وَاَسْتَغْفِرُاللهَ
الْعَظِيْمَ لِيْ وَلَكُمْ وَلِسَائِرِ الْمُسْلِمِيْنَ وَالْمُسْلِمَاتِ فَاسْتَغْفِرُوْهُ
اِنَّهُ هُوَ الْغَفُوْرُ الرَّحِيْمُ