วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คุฏบ์อีดิ้ลอัฎฮา ต. ค. ๒๕๕๕



คุฏบ์อีดิ้ลอัฎฮา  ต.ค.  ๒๕๕๕
โดย อ.อาลี  กองเป็ง


 กล่าวตักบีร  9 ครั้ง    (اللهُ أَكْبَر )           
                
   اللهُ أَكْبَرُكَبِيْرًا . وَاْلحَمْدُللهِ كَثِيْرًا . وَسُبْحَانَ اللهِ بُكْرَةً وَأَصِيْلاً . سُبْحَانَ اللهِ وَاْلحَمْدُللهِ  وَلاَإِلهَ إلاَّ اللهُ . وَاللهُ أَكْبَر . الله أكبرُ  . وَللهِ الْحَمْدُ  
  اَلْحَمْدُللهِ الْمُتَجَلِّيْ بِرَحْمَتِهِ عَلَى عِبَادِهْ ، اَلْقَرِيْبِ مِنْ أَهْلِ مَحَبتِهِ وَوِدَادِهِ
 اَلْقَامِعِ مَنْ هَامَ فِيْ مَيْدَانِ عُتُوِّهِ وَعِنَادِهْ ، اَلْمُعِيْدِ السُّرُوْرِ عَلَى أَهْلِ اْلاِيْمَانِ وَاْلاِسْلاَمِ  ، وَأَشْهَدُ أَنْ لاَإِلَهَ إِلاَّ اللهُ يَغْفِرُ الذُّنُوْبَ وَيُعْطِىْ كُلَّ سَائِلٍ مَاسَأَلْ ،  وَأَشْهَدُ أَنَّ سَيِّدَنَا مُحَمَّدًا رَسُوْلُ اللهِ رَغِبَ فِي الطَّاعَةِ وَحَذَّرَ مِنَ الْكَسَلْ .
اَللَّهُمَّ صَلِّ وَسَلِّمْ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ طَيِّبِ الْقُلُوْبِ وَالْعِلَلْ  ، وَعَلىَ آلِهِ وَأَصْحَابِهِ الْمُخْلِصِيْنَ ِللهِ فِي الصِّيَامِ وَالْقِيَامِ  ،  أَمَّا بَعْدُ  :فَياَ عِبَادَاللهِ أُوْصِيْكُمْ وَنَفْسِيْ أَوَّلاً بِتَقْوَى اللهِ وَطَاعَتِهْ ،  وَقَدْ قَالَ اللهُ تَعَالىَ فِيْ كِتَابِهِ   {كُلُّ مَنْ عَلَيْهَا فَانٍ وَيَبْقَى وَجْهُ رَبِّكَ ذُوا الجَلاَلِ وَاْلاِكْرَامِ }
اللهُ أَكْبَرُ . اَلله ُأَكْبَرُ.  اَلله ُأَكْبَرُ . وَلله ِالْحَمْدُ

ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก    อัลเลาะฮ์ (  ซ บ  )  ทรงประทานเนียะอมัตแก่ชาวมุสลิมไห้ได้มีโอกาสขอบคุณต่อพระองค์ด้วยการทำความดีอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นทางด้านวะจีกรรมเช่นการซิกรุ้ลเลาะฮ์  มโนกรรมเช่นตั้งเจตนาที่บริสุทธิ์  พฤติกรรมเช่นการละหมาดโดยเฉพาะการละหมาดฟัรฎูห้าเวลาซึ่งในตัวละหมาดนี่แหละมันรวมไว้ด้วยกริยาที่สำรวม  วาจาที่สอาดและจิตรใจบริสุทธิ์   หลังจากนั้นมุสลิมทั้งหลายยังได้มีโอกาสเดินทางสู่ที่ทำการละหมาดและทำการละหมาดซุนนะฮ์มุอักกะดะฮ       (سُنَّةٌ مُؤَكَّدَةٌ)ไม่ว่าจะเป็นที่มัสญิดหรือมุซอลลา  โดยส่งเสียงก้องกังวานด้วยคำว่า  (อั้ลลอฮุอักบัร  จากหัวใจที่เต็มเปลี่ยมไปด้วยความดีไจและภาคภูมใจ   ลี้นของพวกเขาชุ่มฉ่ำไปด้วยการซิกรุ้ลเลาะฮ์   และขอดุอาอไห้พระองค์ทรงตอบรับกับอะม้าลของพวกเขา   พร้อมด้วยการขออภัยโทษจากความผิดพลาดที่ผ่านมา    วันอีดคือวัน  และเวลาที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานความดีที่มากมาย  พร้อมด้วยบะรอกัต  เราะฮ์มัต   และการตอบรับการขอดุอาอของมุสลีมีน 

ซึ่งมีบันทึกของท่านฏอบรอนีย์   จากท่นอินุอับบาสซึ่งเป็นหะดีษมัรฟัวะอระบุว่า

إِذَاكَانَ يَوْمُ عِيْدِ الْفِطْرِ                      
   เมื่อวันอีดิ้ลฟิฏรได้ปรากขึ้น                                           

  هَبِطَتِ الْمَلاَئِكَةُ عَلَى أَفْوَاهِ السِّكَكِ                         
 เหล่ามะลาอิกะฮ์ได้ลงมาอยู่ตามช่องทางเดินต่างๆ     
   يُنَادُوْنَ بِصَوْتٍ تَسْمَعُهُ الْخَلاَئِقُ إِلاَّ الْجِنَّ وَاْلاِنْسَ                        
 เขาทั้งหลายจะส่งเสียงร้องเรียก  ซึ่งสิ่งถูกสร้างทั้งหมดจะได้ยินเสียงนั้น  ยกเว้นบรรดาญินและมนุษย์        

   يَا أُمَّةَ مُحَمَّدٍ أُخْرُجُوْا اِلَى رَبٍّ كَرِيْمٍ يُعْطِي الْجَزِيْلَ   
โอ้ประชาชาติของมุฮำหมัด   ท่านทั้งหลายจงออกมาสู่พระเจ้าผู้ทรงใจบุญ  พระองค์จะทรงมอบไห้อย่างมหาศาล                       
           فَإِذَا بَرَزُوْا إِلَى مُصَلاَّهُمْ  
  ดังนั้นเมื่อมุสลิมทั้งหลายปรากฏตัวยังที่ทำการละหมาดของพวกเขา 

                            قَالَ الله ُتَعَالَى :  يَامَلاَئِكَتِيْ مَاجَزَاءُ اْلأَجِيْرِ إِذَاعَمِلَ عَمَلَهُ      
   อัลเลาะฮ์ได้ทรงกล่าวว่า โ อ้เหล่ามะลาอิกะฮ์  อะไรคือค่าตอบแทนของลูกจ้างเมื่อเขาทำภาระกิจเสร็จแล้ว

  قَالُوْا  : إِلَهَنَاوَسَيِّدَنَاأَنْ تُوَفِّيَهُ أَجْرَهُ  
  เหล่ามะลาอิกะอ์ทูลตอบว่า   โอ้พระเจ้าและนายแห่งพวกเรา  โปรดให้ค่าจ้างแก่เขาอย่างสมบูรณ์ด้วยเถิด       

قَالَ  : فَإِنِّيْ جَعَلْتُ ثَوَابَهُمْ مِنْ صِيَامِهِمْ وَقِيَامِهِمْ مَغْفِرَتِيْ وَرِضْوَانِيْ 
                               
อัลเลาะฮ์ทรงกล่าวว่า   แท้จริงเราได้มอบดลบันดาลผลบุญของพวกเขาจากการถือศีลอดและการละหมาดของพวกเขา  เป็นการอภัยโทษจากเรา และเป็นความพึงพอใจของเรา
     وَعِزَّتِيْ لاَيَسْأَلُوْنِيْ فِيْ جَمْعِهِمْ هَذَا لِلآخِرَةِ شَيْئًا إِلاَّ أَعْطَيْتُهُمْ                          และด้วยเกียรติแห่งเรา   ไม่ว่าพวกเขาทั้งหลายจะขอต่อเราในสิ่งหนึ่งสิ่งใด    การรวมตัวของพวกเขานี้เพื่ออาคิเราะฮ์  เว้นเสียแต่เราจะได้ไห้ตามที่พวกเขาขอ
                       وَلاَلِدُنْيَاهُمْ إِلاَّ نَظَرْتُ لَهُمْ                                 
และไม่ว่าเขาทั้งหลายจะขอเพื่อดุนยาของพวกเขาเว้นแต่เราได้มอง ( มอบให้ตามคำขอ )แก่พวกเขาแล้ว  
    اِنْصَرِفُوْا مَغْفُوْرًالَكُمْ      
 ท่านทั้งหลายจงแยกย้ายกลับในสภาพเป็นผู้ได้รับการอภัยโทษแก่พวกท่านเถิด                         قَالَ مُوَرِّقُ اْلعَجَلِيْ  :  فَيَرْجِعُ قَوْمٌ مِنَ الْمُصَلَّى كَمَاوَلَدَتْكُمْ أُمَّهَاتُكُمْ   
   ท่านมุวัรริกอั้ลอะญะลีย์กล่าวว่า   ดังนั้นพวกเขาก็จะกลับจากที่ทำการละหมาดในสภาพที่สอาดบริสุทธิจากบาปเปรียบเสมือนบุตรที่คลอดจากครรญของมารดา  
                       فَهُوَ يَوْمُ الْجَائِزَةِ                                                          มันคือวันแห่งการตอบแทนด้วยรางวัล     
 وُيسَمَّى ذَلِكَ الْيَوْمُ فِي السَّمَاءِ يَوْمَ الْجَائِزَةِ     
 และถูกขนานนามวันดังกล่าวนี้ในท้องฟ้าว่า  เยามุ้ลญาอิซะฮ์  ( วันแห่งการตอบแทนรางวัล )


الله أَكْبَرْ  .اَلله ُأَكْبَرْ  .  اَلله ُأَكْبَرْ .  وَللهِ الْحَمْدُ

                                                                      

ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก  
ท่านอีหม่ามอั้ลค๊อฏฏอบ (  اَلْخَطَّابْ ) ได้เล่ากล่าวในตำราของท่านชื่อว่า  อะดาละตุสสะมาอ        (   عَدَالَةُ السَّمَاءِ)  ซึ่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้น  ณ กรุงแบ๊ฆแดด ( بَغْدَادْ  ) ประมาณสี่สิบปีที่ผ่านมา    มีชายผู้หนึ่งประกอบอาชีพเชือดสัตว์และชำแหละเนื้อขาย      เขาจะออกจากบ้านก่อนแสงอรุณเพื่อไปยังร้านที่เขาทำการเชือด  เขาเริ่มงานด้วยการเชือดแพะแกะ     และเดินทางกลับบ้าน    เมื่ออาทิตย์ขึ้นเขาก็จะทำการเปิดร้านเพื่อขายเนื้อที่เขาได้เชือดและชำแหละเอาใว้ขาย      ซึ่งเป็นกิจวัตประจำวันของเขา   อยู่ต่อมาเกิดมีเหตุการขึ้นในคืนวันหนึ่งหลังจากที่เขาใด้เชือดแพะ  แกะ         เขาได้เดินทางกลับบ้านท่ามกลางความมืด     ด้วยเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนเลือด   ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือในความมืด  เขาจึงมุ่งหน้าไปยังเสียงนั้นด้วยความรวดเร็ว     ด้วยความรีบร้อนของเขาจึงสะดุดล้มบนร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผล  และเปียกชุ่มไปด้วยเลือด    พร้อมกับมีดที่ปักติดที่ร่าง    เขาจึงชักมีดออก  และแบกร่างคนเจ็บ  เลือดของคนเจ็บได้ไหลรดร่างของคนขายเนื้อ  แต่ชายผู้นั้นได้สิ้นชีวิตเสียแล้ว   บรรดาผู้คนเห็นคนขายเนื้อในสภาพที่หวาดกลัว  มือถือมีด  เสื้อผ้าคลุกเคล้าด้วยเลือด  จึงเข้าใจว่าเขานั้นเองเป็นฆาตกร   เขาถูกตัดสินแล้วว่าฆ่าคนตาย   เขาถูกนำตัวสู่ลานประหารและเขาก็แน่ใจแล้วว่าเขาต้องตายแน่    เขาจึงร้องตะโกนและกล่าวว่า   ท่านทั้งหลาย     ข้าขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่าข้ามิได้ฆ่าชายผู้นี้    แต่ข้าได้เคยเป็นฆาตกรฆ่าผู้อื่นเป็นเวลาผ่านมายี่สิบปีแล้ว   วันนี้เองที่ข้าต้องโดนชำระความ   แล้วชายขายเนื้อได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว   ในขนะที่เขายังหนุ่มเขามีอาชีพรับคนข้ามฟาก  เขาเคยรักหญิงคนหนึ่งที่เคยใช้บริการข้ามฟากกับมารดาของเธอบ่อยครั้ง   จึงเกิดความรักระหว่างเราทั้งสอง   แต่ความจนของข้าทำไห้บิดาของเธอไม่ยินยอมเมื่อข้าไปสู่ขอ      และหลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้พบเธอกับมารดาของเธออีกเลย    เวลาผ่านไปประมานสองปีเศษขณะที่ข้ารอรับผู้โดยสารเพื่อข้ามฟาก  ได้มีหญิงคนหนึ่งพร้อมกับลูกของเธอมาขอใช้บริการเรือที่บริการข้ามฟากของข้า  เธอคือคนรักของข้านั้นเอง    เมื่อเรือของข้าถึงกลางแม่น้ำ   ข้าดีใจมากและกล่าวรำลึกถึงความหลังและข้าปารถนาในตัวเธอ   แต่เธอตอบปฏิเสธข้าด้วยมารยาทว่า   เธอมีสามีแล้วเด็กน้อยนี้คือลูกของเธอ    แต่ด้วยอารมณ์ไฝ่ต่ำของข้าจึงทำไห้ข้าพยายามข่มขืนเธอ   เธอร้องและเตือนข้าด้วยนามของอัลเลาะฮ์   แต่มันไม่ทำไห้ข้ารู้สำนึก  เธอพยายามปกป้องตัวเธอ    ลูกของเธอส่งเสียงร้อง   ข้าจึงจับลูกเธอเกดน้ำและต่อรองกับเธอ   เพียงหวังจะได้มาซึ่งความใคร่ของตัวเอง   เธอขอร้องด้วยน้ำตาอาบแก้ม  แต่ความหน้ามืดของข้า   ข้าจับเด็กน้อยกดน้ำ   สภาพเด็กน้อยทุรนทุรายมือและเท้าตะเกียกตะกายตามสัญชาตญานเพื่อเอาตัวรอด    เธอมองลูกของเธอด้วยหัวใจที่แตกสลาย   กับสภาพที่สิ้นลมหายใจทีละน้อยทีละน้อย      และข้าได้โยนร่างที่ไร้วิญญาณลงในแม่น้ำ  ความชั่วของข้ากับอารมไฝ่ต่ำ      ทำไห้ข้าพยายามจะล่วงละเมิดทางเพศแก่เธอ  เธอขัดขืนและตบตีข้า  จนข้าเกิดโทสะ  จึงจับเธอกดน้ำและสิ้นชีวิตไปในที่สุด    ข้าแจวเรือกลับบ้านพร้อมกับความเลวของข้าที่ไม่มีผู้ใดทราบ     อัลเลาะฮ์ผู้มหาบริสุทธิพระองค์ไม่ทรงลืมและละเลยการกระทำของผู้ที่อธรรมทั้งหลายเลย  ในขณะที่ผู้อธรรมทั้งหลายหลงลืมมันไปแล้ว    ความน่าอัปยศครั้งนี้และความโศกเศร้าเมื่อผู้คนในขณะนั้นไดัยินกับหูของตัวเองถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว     ชายพายเรือรับจ้างรับผู้โดยสานข้ามฟากจึงถูกประหารชีวิตโดยการถูกตัดคอ   

 ท่านพี่น้องที่รักทุกท่านครับ  อัลเลาะฮ์ ( ซ.บ. ) ตรัสในซูเราะห์ อิบรอฮีม โองการที่ 42 ว่า  
ความว่า   "และท่านอย่าคิดว่าอัลเลาะฮ์นั้นทรงละเลยต่อสิ่งที่เหล่าอธรรมทั้งหลาย"
.
الله ُأَكْبَرْ . اَلله ُأَكْبَرْ.  اَلله ُأَكْبَرْ . وَللهِ الْحَمْدُ

ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
          มาซีเตาะห์ (  مَاشِطَةْ  )  ชื่อของหญิงคนหนึ่งที่มีความอีหม่าน เธอดำรงชีวิตกับครอบครัวของเธอภายใต้การปกครองของฟาโรห์ ซึ่งอ้างตัวเป็นพระเจ้า สามีเธอเป็นคนใกล้ชิดของฟาโรห์ (ฟิรเอาน์) แต่เธอเป็นคนรับใช้และผู้ดูแลบุตรสาวของฟาโรห์ อัลเลาะห์ตะอาลา ได้ทรงประทานความแน่นแฟ้นแห่งความศรัทธาเหนือสามีของเธอและตัวของเธอ จนกระทั่งฟาโรห์ทราบว่าสามีเธออีหม่านต่ออัลเลาะห์  จึงได้ฆ่าสามีของเธอ ส่วนตัวเธอก็ยังคงทำหน้าที่เป็นคนรับใช้และหวีผมให้แก่บุตรสาวของฟาโรห์  พร้อมยังเลี้ยงดูลูกของเธออีก 5 คน  เธอได้นำอาหารมาให้ลูกของเธอ เหมือนกับแม่นกที่ให้อาหารลูก ๆ ที่อยู่ในรัง
ในขณะที่เธอหวีผมให้แก่ลูกสาวของฟาโรห์ ในวันหนึ่งบังเอิญหวีหลุดจากมือเธอ เธอก็กล่าวว่า
บิสมิ้ลละห์(  بِسْمِ اللهِ   )  ด้วยพระนามแห่งอัลเลาะห์ ลูกสาวฟาโรห์จึงกล่าวว่า   บิดาของข้าคือพระเจ้า  มาซีเตาะห์จึงส่งเสียงร้องว่า หาเป็นเช่นนั้นไม่ อัลเลาะห์คือพระเจ้าของข้าพเจ้าและของเธอ  และเป็นพระเจ้าของพ่อของเธอ ลูกสาวฟาโรห์เกิดความไม่พอใจที่มาซีเตาะห์กราบไหว้อื่นจากบิดาของเธอ  เธอจึงนำเรื่องดังกล่าวไปทูลต่อบิดาของเธอ ฟาโรห์เกิดแปลกใจว่ายังมีคนในปราสาทที่กราบไหว้อื่นจากเขากระนั้นหรือ จึงให้ทหารไปนำมาซีเตาะห์มา และฟาโรห์ก็กล่าวแก่เธอว่า ใครคือพระเจ้าของเจ้า  มาซีเตาะห์ตอบว่า พระเจ้าของข้าพเจ้าและของท่านคืออัลเลาะห์ และขู่บังคับให้มาซีเตาะห์ละทิ้งจากศาสนา และนำไปกักขังและลงโทษด้วยการเฆี่ยนตี แต่ก็ไม่ทำให้เธอละทิ้งจากศาสนาของเธอ ฟาโรห์จึงมีคำสั่งใช้ให้เหล่าทหารน้ำหม้อที่ทำจากทองเหลือง ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำมันตั้งบนกองไฟจนเดือดจัด และนำเธอมายืนอยู่ต่อหน้าหม้อน้ำมันที่เดือดจัดนั้น มาซีเตาะห์
เมื่อเธอแลเห็นการทรมานทำให้เธอยิ่งมั่นใจว่าเธอคือชีวิตเดียวที่ต้องจากไป และก็จะได้พบกับ
อัลเลาะห์(ซ.บ)  ความตายไม่ได้ทำให้เธอขาดอีหม่านเลย แต่กระนั้นฟาโรห์รู้ดีว่าสิ่งที่เธอรักมากที่สุดนั้นคือลูก ๆ ของเธออีก 5 คน ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่เธอต้องเลี้ยงดูอยู่ ความชั่วร้ายของฟาโรห์ทำให้ฟาโรห์ มีความปรารถนาเพิ่มการทารุณ จึงได้ใช้ทหารไปนำลูกทั้ง 5 คน ของเธอมาด้วย น้ำตาของลูกกำพร้าทั้ง 5 คน ไหลรินและไม่ทราบว่าจะถูกลากไปไหน เมื่อลูกกำพร้าทั้ง 5 คน แลเห็นมารดาของพวกเขา จึงเข้ามากอดเธอพร้อมกับสภาพที่น้ำตายังอาบแก้ม มาซีเตาะห์ก้มลงจูบและหอมลูก ๆ ของเธอ พร้อมกับร้องไห้ เธอได้อุ้มลูกคนเล็กที่สุดไว้ในอ้อมอก และให้นมจากทรวงอกของเธอ เมื่อฟาโรห์เห็นสภาพดังกล่าว จึงใช้บรรดาทหารลากลูกของเธอคนโตสุด และโยนไปบนน้ำมันที่เดือด เสียงเด็กร้องหาแม่และขอความช่วยเหลือ บรรดาทหารขอความเมตตาจากฟาโรห์ แต่ก็ไม่ได้รับความปราณีแม้แต่นิดเดียว ลูกของเธอที่เหลืออยู่ก็ส่งเสียงร้องพร้อมกับตีทหารด้วยกับสองมือเล็ก ๆ สภาพที่ทหารกระชากลูก ๆ ของเธอ และเธอก็ยืนมองแบบอำลา ไม่ได้ผ่านไปเว้นเสียแต่เวลาอันเล็กน้อย ลูกของเธอก็ถูกโยนไปในน้ำมันที่เดือด เธอไม่สามารถขัดขวางได้ นอกเสียจากการร้องไห้ และยืนมอง ส่วนลูกที่เหลืออยู่ของเธอก็เอามืออันเล็กปิดตา จนกระทั่งเนื้อในหม้อน้ำมันที่เดือดละลาย กระดูกที่มี สีขาวลอยขึ้นสู่ผิวน้ำมันที่เดือด ฟาโรห์ได้มองมายังมาซีเตาะห์และบังคับให้เธอปฏิเสธอัลเลาะห์ ความอีหม่านทำให้เธอยืนหยัด  จึงสร้างความโกรธให้แก่ฟาโรห์เป็นทวีคูณ จึงได้ให้ทหารกระชากลูกคนที่สองรองลงมาออกจากอกแม่ ขณะเสียงของลูกเรียกหาแม่และขอความช่วยเหลือ จนกระทั่งถูกโยนลงไปในหม้อน้ำมันที่เดือด เธอยืนมองด้วยหัวใจที่สลาย กับเนื้อของลูกที่ละลาย กระดูกที่ขาวลอยขึ้นมาปะปนกับกระดูกของลูกชายคนโต มาซีเตาะห์ยังคงยืนหยัดบนศาสนาของเธอ มั่นใจต่อการพบพระเจ้าของเธอ  ฟาโรห์ได้ทำเช่นนี้กับคนที่ 3 และ 4 แต่ก็ไม่ทำให้อีหม่านของมาซีเตาะห์ลดหย่อนไปเลย สายตาของเธอมองไปยังหม้อน้ำมันที่เดือดเนื้อหนังของลูก ๆ ละลาย เสียงร้องไห้สิ้นสุด เธอเพียงแต่ได้กลิ่นของเนื้อและเห็นกระดูกเล็ก ๆ ลอยเหนือน้ำมันที่เดือด เธอคือแม่ที่มองกระดูกของลูก ๆ ความจริงลูก ๆ ของเธอจากเธอไปสู่อีกโลกหนึ่งแล้ว  เธอร้องไห้จนน้ำตาจะเป็นสายเลือด เพราะการจากไปของลูก ๆ เธอสิ้นหวังแล้วจากการนำลูกสู่ทรวงอกของเธอ และให้นมลูกจากทรวงอกของเธอ  และเธอหมดหวังแล้วจากการอดหลับอดนอนเมื่อลูก ๆ ของเธอตื่นและสิ้นหวังแล้วที่จะร้องไห้ จากการร้องไห้ของลูก ๆ กี่คืนแล้วที่ลูกนอนบนตักของเธอ เล่น ดึงผมของเธอ เธอหมดหวังแล้วที่จะสวมใส่เสื้อผ้าให้แก่ลูก ๆ และสิ้นหวังจากการปกป้องอันตรายแก่ลูก ๆ  ขณะนั้นลูกเล็กของเธอกำลังดื่มนมจากทรวงอกของเธอ ทหารของฟาโรห์ที่ชั่วร้ายได้กระชากลูกของเธอออกจากทรวงอกเสียงร้องดังขึ้นจากเด็กที่ไร้เดียงสาและเสียงร้องไห้อันเจ็บปวดจากหญิงที่น่าสงสารที่หัวใจแตกสลาย   อัลเลาะห์จึงให้เด็กน้อยพูดได้โดยเด็กน้อยกล่าวแก่ผู้เป็นแม่ไปว่า       
                   ( يَااُمَّاهْ اِصْبِرِيْ فَاِنَّكِ عَلَى الْحَقِّ   ) 
          ความว่า    โอ้คุณแม่สุดที่รักเธอจงอดทนเถิดแท้จริงเธออยู่บนสัจธรรม

 เมื่อสิ้นสุดเสียงของลูกเธอ  เธอก็เพียงแต่เห็นว่าลูกเธอคนเล็กถูกโยนไปในหม้อน้ำมันที่เดือดเหมือนกับพี่น้อง    ทั้ง ๆ ที่ในปากของลูกคนเล็กยังมีน้ำนมของเธออยู่และในมือยังมีเส้นผมจากเส้นผมของเธอและคราบน้ำตาของลูกยังคงติดที่เสื้อผ้าของเธอ    ลูกทั้ง 5 คนของเธอได้จากเธอไปแล้ว  เธอผู้น่าสงสารมองไปยังกระดูกของลูกๆที่ลอยในน้ำมันประดุจดังวิญญาณของเธอที่กำลังจะล่องลอยออกจากเรือนร่าง  เธอไม่สามารถแม้แต่เพียงเช็ดน้ำตาให้ลูกแม้แต่ครั้งเดียว     ขณะเดียวกันเธอสามารถที่จะปกป้องลูกได้โดยการเพียงพูดเป็นประโยคสั้นเพียงประโยดเดียวให้ฟาโรห์ได้ยินว่าเธอปฏิเสธอัลเลาะห์แต่เธอก็ไม่กระทำดังกล่าวเพราะเธอทราบดีว่า     ที่อัลเลาะห์(ซ.บ.) นั้นคือความดีตอบแทนและคงทนถาวร  เวลาไม่ได้ผ่านไปนานเท่าใดเลย เหล่าทหารของฟาโรห์ได้จู่โจมและลากเธอเหมือนกับหมาบ้า    เมื่อเหล่าทหารได้ลากเธอเพื่อจะโยนเธอไปในหม้อน้ำมันที่เดือด  เธอได้มองไปยังกระดูกของลูก ๆ ของเธอ  เธอก็นึกได้ว่าเธอจะใช้ชีวิตพร้อมกับลูก ๆ ของเธอในโลกหน้าแล้ว  เธอได้เหลียวมองไปยังฟาโรห์  และกล่าวว่าโอ้ฟาโรห์ข้ามีความปรารถนาจากท่าน    ฟาโรห์จึงส่งเสียงร้องอันดังว่า  
เธอต้องการอะไร?   มาซีเตาะห์กล่าวว่า ให้ท่านเอากระดูกของข้าพเจ้าและกระดูกของลูก ๆ ข้าพเจ้ารวมกันและฝังมันในหลุมเดียวกัน เธอปิดสองสายตาของเธอและถูกโยนลงไปในน้ำมันที่เดือด เนื้อหนังของเธอไหม้เกรียม กระดูกสีขาวลอยเหนือปากหม้อ ความยืนหยัดของเธอช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินและผลบุญของเธอก็มากมาย
          ท่านนบี(ซ.ล) ได้แลเห็นในคืนอิสรออฺ เสี้ยวหนึ่งจากความผาสุขของมาซีเตาะห์ จึงได้เล่าให้แก่บรรดาซอฮาบะห์ฟังโดยมีบันทึกจากท่านบัยฮะกีย์ว่า
لمَاَّاُسْرِيَ بِيْ مَرَّتْ بِيْ رَائِحَةٌ طَيِّبَةٌ .. فَقُلْتُ : مَاهَذِهِ الرَّائِحَةُ؟ فَقِيْلَ لِيْ : هَذِهِ مَاشِطَةْ بِنْتُ فِرْعَوْنَ وَاَوْلاَدُهَا .... 

          ความว่า  เมื่อข้าพเจ้าได้ถูกนำพา(อิสรออฺและเมี๊ยะรอจ) ได้มีกลิ่นหอมอบอวลผ่านมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ถามว่านี่คือกลิ่นอะไรกัน จึงมีคำตอบแก่ข้าพเจ้าว่านี่คือกลิ่นหอมของมาซีเตาะห์และลูก ๆ ของเธอ

          ท่านพี่น้องร่วมศรัทธาที่รัก
                  ท่านจงเหน็ดเหนื่อยและอดทนในวันนี้ ท่านจะได้พักผ่อนในวันพรุ่งนี้ แท้จริงชาวสวรรค์จะถูกกล่าวแก่พวกเขาในวันกิยามะห์ดังที่อัลเลาะห์ต้าอาลาทรงตรัสในซูเราะ อัดเราะอฺดุ โองการที่ 24 ว่า



ความว่า    ความศานติจงมีแด่พวกท่านเนื่องด้วยพวกท่านได้อดทน   มันชังดีเสียนี้กระไรที่พำนักบั้นปลายนี้


اَقُوْلُ قَوْلِيْ هَذَا وَاَسْتَغْفِرُاللهَ الْعَظِيْمَ لِيْ وَلَكُمْ وَلِسَائِرِ الْمُسْلِمِيْنَ وَالْمُسْلِمَاتِ فَاسْتَغْفِرُوْهُ اِنَّهُ هُوَ الْغَفُوْرُ الرَّحِيْمُ


الخطبة الثانية
คุตบะห์้นที่สอง

اللهُ أَكْبَرُ . الله ُأَكْبَرُ . لاَاِلَهَ إِلاَّالله ُ. الله ُأَكْبَرُ . الله ُأَكْبَرُ . وَللهِ الْحَمْدُ        اَلْحَمْدُللهِ مُعِيْدِ الْجَمْعِ وَاْلأَعْيَادْ . وَمُبِيْدِ اْلأُمَمِ وَاْلأَجْنَادْ . وَجَامِعِ النَّاسِ لِيَوْمٍ لاَرَيْبَ فِيْهِ إِنَّ الله َلاَيُخْلِفُ الْمِيْعَادْ . وَأَشْهَدُ أَنْ لاَإِلَهَ إِلاَّ الله ُوَحْدَهُ لاَشَرِيْكَ لَهْ وَلاَنِدَّ وَلاَمُضَادْ . وَأَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّدًاعَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ الْمُفَضَّلُ عَلَى جَمِيْعِ الْعِبَادْ. صَلَّى الله ُعَلَيْهِ وَعَلَى آلِهِ وَأَصْحَابِهِ وَمَنْ تَبِعَهُمْ بِإِحْسَانٍ إِلَى يَوْمِ التَّنَادْ . وَسَلَّمَ تَسْلِيْمًا
اَمَّابَعْدُ : فَيَااَيُّهَاالنَّاسُ  .اِتَّقُوااللهَ حَقَّ تُقَاتِهِ وَلاَ تَمُوْتُنَّ إِلاَّ وَأَنْتُمْ مُسْلِمُوْنَ .  أَلاَ وَصَلُّوْا عَلَى خَيْرِ الْبَرِيَّةِ أَجْمَعِيْنَ . وَرَسُوْلِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ . نَبِيِّ الْهُدَى وَالرَّسُوْلِ الْمُجْتَبَى . فَقَدْ أَمَرَكُمْ مَوْلاَكُمْ بِذَلِكَ فِيْ مُحْكَمِ كِتَابِهِ . إِنَّ اللهَ وَمَلاَئِكَتَهُ يُصَلُّوْنَ عَلَى النَّبِىِّ يَا اَيُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوْا صَلُّوْا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوْا تَسْلِيْمًا .   اَللَّهُمَّ اغْفِرْ لِلْمُسْلِمِيْنَ وَالْمُسْلِمَاتِ وَالْمُؤْمِنِيْنَ وَالْمُؤْمِنَاتِ اْلأَحْياَءِ مِنْهُمْ وَاْلأَمْوَاتِ بِرَحْمَتِكَ يَاأَرْحَمَ الرَّاحِمِيْنَ . أَعَادَ الله ُعَلَيْنَا مِنْ بَرَكَاتِ هَذَاالْعِيْدِ . وَجَعَلَنَا فِي الْقِيَامَةِ مِنَ اْلآمِنِيْنَ . وَحَشَرَنَاتَحْتَ لِوَاءِ سَيِّدِ الْمُرْسَلِيْنَ . عَلَيْهِ الصَّلاَةُ مِنْ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ . اَللَّهُمَّ اجْعَلْ عِيْدَنَا فَوْزًابِرِضَاكَ ياَأَرْحَمَ الرَّاحِمِيْنَ . اَللَّهُمَّ اجْعَلْ رَمَضَانَ رَاحِلاًبِذُنُوْبِنَا  قَدْ غَفَرْتَ فِيْهِ سَيِّئَاتِنَا . وَرَفَعْتَ فِيْهِ دَرَجَاتِنَا . رَبَّنَاتَقَبَّلْ مِنَّاإِنَّكَ أَنْتَ السَّمِيْعُ الْعَلِيْمُ.
 وَتُبْ عَلَيْنَا إِنَّكَ أَنْتَ التَّوَّابُ الرَّحِيْمُ . وَاجْعَلْنَا مِنَ الَّذِيْنَ تَجْرِيْ مِنْ تَحْتِهِمُ اْلأَنْهَارُ فِيْ جَنَّاتِ النَّعِيْمِ .
دَعْوَاهُمْ فِيْهَا سُبْحَانَكَ اللَّهُمَّ وَتَحِيَّتُهُمْ فِيْهَا سَلاَمْ  . وَآخِرُدَعْوَاهُمْ أَنِ اْلحَمْدُ ِلله ِرَبِّ اْلعَالَمِيْنَ .